- ปัจจัยสำคัญสำหรับไม้ใบ -

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการปลูกไม้ใบประดับคือ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม กับไม้ประดับชนิดนั้นๆ หากปลูกลงดินในสวน ควรคำนึงถึงการรดน้ำ ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ปริมาณแสงแดดที่ได้รับในพื้นที่นั้นๆ เพราะไม้ใบแต่ละชนิดมีความต้องการต่างกัน ส่วนใหญ่ต้องการแสงแดดในช่วงครึ่งเช้า แต่มีบางชนิดที่สามารถปลูกเลี้ยงได้ในที่มีแสงแดดจัด เช่น หมากเหลือง หมากเขียว จันทรน์ผา ยางอินเดีย ลิ้นมังกร เตยด่าง ฤาษีผสม ผักเป็ดแดง เป็นต้น แต่ต้องได้รับน้ำเพียงพอด้วย ขณะที่บางชนิดต้องปลูกในที่ร่มรำไร ใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่างหน้าวัว ฟิโลเดนดรอน พลูด่าง พลูฉีก วาสนา อโกลนีมา เฟินหลายสกุล และสับปะรดสีบางสกุล เช่น รีซี (Vriesea) เป็นต้น

สำหรับไม้ใบที่ปลูกในบ้านก็ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้เร่ิมจาก

  1. ตำแหน่งการวาง ไม้ใบที่ปลูกในที่ที่เปิดโล่งหรือมีแสงสว่างสม่ำเสมอจะเติบโตได้ดีกว่าต้นที่ปลูกในห้องทึบและอับลม ดังนั้นควรวางไม้กระถางในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี จะช่วยให้การปลูกเลี้ยงต้นไม้ในบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น ลดอัตราการเกิดโรคและแมลงศัตรูเข้าทำลาย
  2. แสง เป็นปัจจัยพื้นฐานในการเติบโตของพืชทุกชนิด ดังนั้นพื้นที่ที่เลือกจัดวางจึงจำเป็นต้องมีแสงส่องและเพียงพอกับพืชชนิดนั้นๆ เช่น ริมหน้าต่าง หรือถ้าต้องการวางไว้ในที่กึ่งกลางบ้านก็ควรมีช่องให้แสงลอดผ่านถึงไม้กระถางเหล่านั้นอย่างเพียงพอ

ตำราหลายเล่มมีการแบ่งปริมาณแสงที่ไม้ใบควรได้รับเป็นหลายระดับ เช่น แสงน้อย แสงมาก แสงปานกลาง รำไร หรือสว่างแต่ไม่โดนแดดโดยตรง ในที่นี้จึงขอจำแนกพืชตามความต้องการของแสงไว้ดังนี้

  • ไม้ใบที่ต้องการแสงมาก ควรวางใกล้หน้าต่าง โดยเฉพาะบริเวณที่หันหน้าไปทางทิศจะวันออกเฉียงใต้ และวางห่างจากจุดที่แสงเข้าไม่เกิน 30 เซนติเมตร เช่น กระทิง ปรง เฟิน ชายผ้าสีดา โกสน หนวดปลาหมึก
  • ไม้ใบที่ต้องการแสงปานกลาง ควรวางไว้ในที่ที่มีแสงสว่างหันหน้าไปทางทิศตะวันตกหรือทิศตะวันออก เช่น เฟินบอสตัน สนฉัตร ปาล์มบางชนิด สับปะรดสีบางสกุล เป็นต้น
  • ไม้ใบที่ต้องการแสงน้อย ควรวางไว้ในที่มีแสงสว่างธรรมชาติส่องถึงเล็กน้อยหรือมีแสงไฟจากหลอดนีออนหรือ LED เพื่อให้พืชสังเคราะห์แสงบ้าง ไม้ใบส่วนใหญ่สามารถเติบโตได้ดีในแสงปานกลาง ถึงแสงมาก แต่ก็มีหลายชนิดที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแสงน้อยได้ เช่น กวักมรกต ลิ้นมังกร พลูด่าง พลูทอง นาวกวัก เป็นต้น

TIPS

  • ปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลกว่าเดิมมากเพราะมีอุปกรณ์ที่ใช้วัดความเข้มข้นของแสงได้มีหน่วยเป็นลักซ์ (Lux) โดยทั่วไปแสงในอาคารมีปริมาณที่หลากหลายตั้งแต่ 20 – 2,000 ลักซ์ และมีการทดลองพบว่า สภาพแสงน้อยที่สุดที่พืชสามารถเจริญเติบโตได้คือ 250 – 800 ลักซ์ เท่านั้น
  • หากเลี้ยงต้นไม้ใกล้หน้าต่างพึงระลึกเสมอว่า แสงแดดในแต่ละฤดูนั้นมีความเข้มของแสงแตกต่างกัน ผู้เลี้ยงต้องสังเกตอยู่เสมอว่า ต้นไม้ได้รับแสงมากน้อยเกินไปหรือไม่ รวมทั้งคอยหมุนกระถางเพื่อไม่ให้ต้นเอียงหาแสงไปด้านใดด้านหนึ่ง

3.  การให้น้ำ เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้ไม้ใบเติบโตได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะต้นที่ปลูกเลี้ยงในสวน ควรรดน้ำสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าปลูกไม่มากอาจใช้บัวรดน้ำรด แต่ถ้าพื้นที่สวนมีขนาดใหญ่อาจใช้สายยางฉีดหรือวางระบบสปริงเกอร์ ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนที่มีความเข้มของแสงมากและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศน้อย อาจฉีดพ่นน้ำช่วงกลางวันเพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ แต่ถ้าในช่วงฤดูฝนที่มีฝนชุก ไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน เพราะอาจทำให้รากเน่า ต้นตายได้

กรณีที่ปลูกเลี้ยงไม้ใบไว้ในบ้าน สิ่งสำคัญคือต้องมีจานรองกระถางเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเลอะเทอะ สำหรับวิธีรดน้ำมีหลายวิธีให้เลือกใช้ ดังนี้

  • วิธีที่ 1 ใส่น้ำในจานรองกระถาง รอให้วัสดุปลูกค่อยๆ ดูดซับน้ำจนชุ่ม วิธีนี้ช่วยประหยัดแรงงานในการยกและเคลื่อนย้ายกระถาง
  • วิธีที่ 2 ยกไม้ใบกระถางมาวางนอกบ้านที่มีแสงรำไร แล้วใช้บัวรดน้ำทั้งต้นให้ชุ่ม พร้อมกับล้างฝุ่นบนใบให้สะอาด รอให้สะเด็ดน้ำจึงยกกลับไปวางที่เดิม
  • วิธีที่ 3 หากะละมังหรือถังพลาสติกที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดกระถาง ใส่น้ำให้ระดับน้ำพอดีกับรูระบายน้ำที่ก้นกระถาง แล้วยกไม้กระถางวางแช่ไว้เพื่อให้วัสดุปลูกค่อยๆ ดูดซับน้ำจนชุ่มจึงยกขึ้นรอให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปวางบนจานรองกระถาง เช่นเดิม วิธีนี้เหมาะสำหรับไม้กระถางที่ขาดน้ำมากจนดินแห้ง จะช่วยให้พืชได้รับน้ำอย่างเต็มที่และฟื้นตัวได้เร็ว

ข้อควรระวัง

ไม้ใบที่ปลูกเลี้ยงในอาคารต้องการน้ำน้อยกว่าต้นที่ปลูกนอกอาคาร เพราะไม่ได้รับแสงแดดและลมโดยตรง ความชื้นในกระถางจึงระเหยช้า จึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน อาจรดทุก 2 – 4 วัน ขึ้นอยู่กับพืชแต่ละชนิดและวัสดุปลูกที่ใช้ เมื่อดินเริ่มแห้งจึงให้น้ำใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ควรรอจนดินแห้งมาก ใบเหี่ยว เพราะอาจทำให้ใบล่างเหลืองและร่วง ที่เรียกกันว่า “ไม้ถอดเสื้อ” ทำให้ทรงพุ่มไม่สวยงามดังเดิม

TIPS

  • หมั่นสังเกตุต้นไม้ของเราว่าแสดงอาการผิดปกติหรือไม้ เช่น ใบเหี่ยวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือร่วงผิดปกติ โดยเฉพาะที่โคนต้นอาจเกิดจากการที่ได้รับน้ำมากเกินไปจนทำให้รากเน่า หรือต้นขาดน้ำจนทิ้งใบ ควรหมั่นสังเกตแล้วค่อยๆ ปรับแก้
  • หากมีมดเดินเพ่นพ่านอยู่รอบๆ กระถางหรือบริเวณให้สันนิษฐานว่า อาจมีเพลี้ยเข้าทำลายพืชอยู่ในรากหรือตามใต้ใบ โดยเฉพาะเพลี้ยแป้ง หากพบควรเก็บเพลี้ยออกจากต้น กรณีที่เพลี้ยอาศัยอยู่ในวัสดุปลูก ควรรีบเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่แล้วนำของเก่าไปทิ้ง

4.  วัสดุปลูก เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้ต้นไม้เติบโตได้ดี ควรเลือกดินปลูกที่เหมาะกับพรรณไม้แต่ละประเภท จะช่วยให้การปลูกเลี้ยงง่ายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว วัสดุปลูกที่เหมาะสมสำหรับไม้ใบประกอบด้วยดินร่วนผสมกับวัสดุปลูกอื่นๆ เช่น มะพร้าวสับ ขุยมะพร้าว แกลบขาว และใบก้ามปูที่ย่อยสลายแล้ว เพราะช่วยให้ดินโปร่ง ระบายน้ำได้ดี และมีธาตุอาหารเพียงพอ อาจเลือกซื้อดินถุงที่ผสมสำเร็จและมีขายทั่วไป ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้เลี้ยงสะดวกสบายมากขึ้น ไม้ใบบางชนิด เช่น สับปะรดสีและไม้อวบน้ำบางชนิดอย่างยูโฟร์เบีย ต้องการวัสดุปลูกที่ระบายน้ำและอากาศดีมาก อาจผสมหินภูเขาไฟหรือเพอร์ไลต์เพื่อให้วัสดุปลูกโปร่งมากขึ้น

ไม้ใบที่นิยมปลูกหลายชนิดเป็นพืชอิงอาศัย เช่น ฟิโลเดนดรอน หน้าวัวใบ พลูด่าง พลูทอง เฟิน ชายผ้าสีดา เป็นต้น ไม้ประดับกลุ่มนี้ต้องการวัสดุปลูกที่โปร่ง ชื้น ระบายน้ำดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อเราซื้อไม้ใบเหล่านี้มาจากตลาดต้นไม้ วัสดุปลูกที่ใช้จะมีกาบมะพร้าวสับเป็นส่วนผสม บางสวนก็ใช้กาบมะพร้าวสับล้วนๆ อย่างไรก็ตาม ควรนำมาแช่น้ำก่อนนำมาใช้ 2 – 3 วัน หมั่นเปลี่ยนน้ำทุกวัน เพื่อให้น้ำยางสีน้ำตาลละลายออกไปกับน้ำ แล้วค่อยนำมาใช้เป็นสัสดุปลูก จะช่วยให้ไม้ประดับเติบโตได้ดี

ข้อเสียคือ กาบมะพร้าวมีอายุการใช้งานสั้นเพียง 1-2 ปีเท่านั้น และย่อยสลายกลายเป็นขุยละเอียด ทำให้วัสดุปลูกแน่น รากพืชเติบโตไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่ทุกปี

5.  ภาชนะปลูก ควรเลือกภาชนะปลูกหรือกระถางให้เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตและขนาดต้นจะช่วยให้ไม้ใบแข็งแรง ดูสวยงามน่ามองขึ้น สำหรับภาชนะปลูกที่นิยมใช้มีอยู่ด้วยกันหลายประเภททั้งกระถางดินเผา กระถางพลาสติก กระถางเซรามิก ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้

ข้อดี

ข้อเสีย

กระถางพลาสติก

  • มีหลายสีให้เลือก
  • น้ำหนักเบา
  • เคลื่อนย้ายง่าย
  • ราคาถูก
  • ระบายน้ำได้ไม่ดีนัก
  • อายุการใช้งานสั้น

กระถางดินเผา

  • เนื้อกระถางมีรูพรุน จึงระบายน้ำและอากาศได้ดี
  • แข็งแรง ทนทาน
  • อายุการใช้งานนาน
  • มีให้เลือกน้อย
  • มีน้ำหนักมาก
  • ราคาสูงกว่าพลาสติก

กระถางปูน

  • แข็งแรง ทนทานกว่าดินเผา
  • อายุการใช้งานนาน
  • มีให้เลือกน้อย
  • มีน้ำหนักมาก
  • ราคาสูงกว่าดินเผา

กระถางเซรามิก

  • มีรูปทรงและดีไซน์แปลกตา
  • ทนทาน
  • ราคาสูง
  • ถ้าเป็นกระถางที่มีสารเคลือบด้านในกระถางจะทำให้ระบายน้ำและอากาศได้ไม่ดีนัก

TIPS

  • ไม้ใบนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง จึงทำให้รากพืชเติบโตในพื้นที่จำกัด ดังนั้นผู้เลี้ยงควรหมั่นเปลี่ยนดินและเปลี่ยนกระถางให้ใหญ่ขึ้นตามความเหมาะสมของขนาดต้นอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อให้ไม้ใบได้รับธาตุอาหารเพียงพอและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
  • เคล็ดไม่ลับอย่างหนึ่งในการปลูกไม้ใบกระถาง คือ การใช้วัสดุ เช่น โฟมหัก กาบมะพร้าวสับชิ้นใหญ่ อิฐหักหรือใช้หินภูเขาไฟรองก้นกระถาง จะช่วยให้ดินระบ่ยน้ำและอากาศได้ดีขึ้น

TIPS

  • ถ้าเป็นกระถางเคลือบซึ่งมีผิววาว อาจไม่เหมาะใช้เป็นภาชนะปลูก เพราะทำให้พืชเติบโตไม่ดีนัก ควรนำกระถางไม้ใบสวมลงในกระถางเคลือบอีกชั้นหนึ่ง หรือใช้ภาชนะสวยงามอื่นๆ เช่น ถังสังกะสี ตะกร้าหวายสาน หรือหุ้มด้วยกระสอบป่านสวมเพื่อปกปิดกระถางเก่าที่ไม่สวยงามก็ได้
  • ไม้ใบหลายชนิดสามารถเติบโตในน้ำได้โดยไม่ต้องปลูกในดิน เช่น พลูด่าง พลูฉลุ พลูทอง ฟิโลทอง พัดโบก กวนอิม ไม้น้ำพวกกกแก้ว แว่นแก้ว ผักแว่น หรือเป็นไม้หัว พวกว่านสี่ทิศ เป็นต้น ภาชนะที่ใช้คือ แจกัน ขวดแก้วรูปทรงต่างๆ ที่บรรจุน้ำได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องคอยเปลี่ยนน้ำเพื่อไม่ให้ยุงมาวางไข่ หรืออาจเลี้ยงปลาสวยงาม เช่น ปลากัด ปลาหางนกยูง ปลาสอดไว้ในภาชนะก็ช่วยป้องกันไม่ให้มีลูกน้ำได้

6.  ปุ๋ย จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของไม้ใบเช่นกัน เพราะช่วยให้ใบมีสีเขียวสดใส ก้านใบแข็งแรง นิยมใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปุ๋ยเม็ดละลายน้ำ หรือปุ๋ยเม็ดละลายช้า เช่น ออสโมโค้ท (Osmocote) สูตรเสมอ ทุก 3 เดือน ผสมกับวัสดุปลูกตอนเปลี่ยนดิน เปลี่ยนกระถาง หลังจากนั้นให้ปุ๋ยเพิ่มทุก 1 -2 เดือน ในอัตราเจือจางกว่าที่ระบุไว้ และควรให้ทีละน้อยแต่บ่อยครั้งจะดีกว่า หากให้ในปริมาณมากเกินไป นอกจากต้นไม้จะดูดซึมไปใช้ไม่ทันและละลายทิ้งไปกับน้ำแล้ว ยังทำให้ต้นอวบน้ำ เปราะหักง่าย ต้นยืดยาว ทรงพุ่มไม่สวยงาม และทำให้เกิดอาการรากเน่าได้ง่าย หรือเกิดคราบเกลือเกาะตามขอบกระถางและรากดูไม่สวยงามอีกด้วย

SIRIWAN LANDSCAPE ENGINEERING

Dawin minimal plants
ข้อมูลพันธุ์ไม้

"I Love Plants"

วงศ์ไม้ใบ