ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า aglaos แปลว่า สว่างสดใส และ nema แปลว่า เส้น สื่อถึงลักษณะของเกษรเพศผู้ที่เกาะอยู่บนปลีดอก กระจายพันธุ์ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย พบตามป่าชื้น มีมากกว่า 25 ชนิด ลักษณะเด่นของพืชสกุลนี้คือทุกส่วนอวบน้ำ มีรากฝอยอวบอยู่ใต้ดิน ลำต้นเหนือดินเป็นลำเห็นข้อปล้องชัดเจน อาจตั้งตรงหรือทอดเลื้อย ใบเดี่ยวออกเวียนรอบต้น มีรูปทรง ลวดลาย และสีสันแตกต่างกัน ช่อดอกเป็นช่อเชิงลดมีกาบ มีดอกเพศผู้จำนวนมากอยู่ด้านบนของปลีดอกซึ่งมีทั้งที่สมบูรณ์และเป็นหมัน อละดอกเพศ้มียที่สมบูรณ์อยู่ด้านล่าง เมื่อติดผลจะกระจุกอยู่ที่ปลายก้าน ผลรูปรี เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดง เนื้อนุ่ม ภายในมี 1 เมล็ด

ชมรมผู้พัฒนาพันธุ์ไม้ประดับ 2000 ได้ขอพระราชทานชื่อไทยจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรากูร เมื่อครั้งยังดำรงยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามบรมราชกุมาร และพระราชทานชื่อว่า “แก้วกาญจนา” เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งมีความหมายว่า งดงามสว่างไสวและสุกสว่างดุจดั่งทอง ตามลักษณะและสีสันบนใบของอโกลนีมาลูกผสมที่นักปลูกเลี้ยงปรับปรุงพันธุ์ขึ้น โดยลูกผสมส่วนใหญ่นิยมคัดเลือกต้นที่มีขนาดเล็ก ก้านใบสั้น ทรงกระชับ ทนทานต่อโรคแมลงและเติบโตได้ดีในสภาพแสงน้อย เพื่อให้เหมาะกับการปลูกเป็นไม้กระถาง ไม้เมืองไทยนิยมปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลายมาแต่อดีตด้วยความเชื่อว่าเป็นไม้มงคล เช่น เขียวหมื่นปี ที่นิยมปลูกใส่กระถางตั้งไว้หน้าบ้านระเบียงบ้าน เพื่อให้โชคลาภและสุขภาพแข็งแรง

อโกลนีมาควรปลูกในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงช่วงครึ่งวันเช้าหรือตำแหน่งที่มีร่มเงาของไม้ใหญ่ ไม่ควรปลูกในที่ร่มเกินไป เพราะจะทำให้ต้นยืดและดูเก้งก้าง ดินปลูกควรชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ไม่แฉะเกินไป ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำยอดหรือแยกกอ จากการศึกษาพบว่า อโกลนีมาเป็นพืชดูดซับสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ในอากาศดี ปัจจุบันจึงนิยมนำมาปลูกในบ้านหรือเป็นไม้ประดับสวนกันมากขึ้น ทั้งยังมีความหลากหลายของรูปทรงและสีสันของใบอีกมากมาย